insightsocialstudies ประวัติศาสตร์,สังคมวิทยา วัฒนธรรมกับอารยธรรม มันเหมือนหรือต่างกันยังไงหนอ?

วัฒนธรรมกับอารยธรรม มันเหมือนหรือต่างกันยังไงหนอ?

จิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมในถ้ำอชันตา ภาพสะท้อนของความรุ่งเรืองในอารยธรรมอินเดีย (ขอบคุณภาพจาก https://www.mynation.com)

ได้บอกเล่าเรื่องราวที่สัมพันธ์กับเนื้อหาทางรัฐศาสตร์ไป 3 บทละ มาในบทนี้ขอเปลี่ยนโหมดไปที่ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็น part ที่ถนัดสุดของผู้เขียนบ้าง แต่จะว่าไปแล้วเรื่องราวที่จะมาแชร์ให้ผู้อ่านในวันนี้มันก็ไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์เสียทั้งหมด บางส่วนก็ยังสัมพันธ์กับเนื้อหาทางสังคมวิทยาอยู่บ้าง หากผู้อ่านยังพอจำกันได้อยู่ก้อน่าจะรู้ว่าเนื้อหาสังคมวิทยากับรัฐศาสตร์ มันรวมอยู่ในสาระหน้าที่พลเมืองนั่นเอง แต่คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะลืมนะ 555 ไม่เป็นไรผ่านๆ ไปต่อกันเลย

เนื้อหาที่จะยกขึ้นมาเขียนวันนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำว่า วัฒนธรรมกับอารยธรรม ซึ่งเชื่อแน่ว่าผู้อ่านทุกคนต้องเคยได้ยินคำทั้งสองมาแล้วอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคืออาจจะยังไม่รู้หรือเข้าใจความต่างของคำทั้งสองอย่างแท้จริง จริงๆ ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ถือเป็นส่วนหนึ่งในกันและกัน หากพิจารณาในเชิงความหมายและการนำไปใช้ นิยามที่ให้อาจต่างกันบ้าง แต่รวมๆ จะมีเนื้อความหมายหลักคล้ายกัน ดังนั้นเริ่มแรกเราไปดูที่ความหมายตามการบัญญัติศัพท์ของสำนักราชบัณฑิตยสภากันก่อน จากนั้นจึงค่อยไปเทียบความเหมือนความต่างและการนำไปใช้อย่างถูกต้อง

วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงามของสังคม ซึ่งแสดงออกได้ทั้งทางจิตใจและวัตถุ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญของสังคมมีหลายอย่าง เช่น ความรู้สึกนึกคิดของสมาชิกในสังคม มารยาท

อารยธรรม มาจากคำว่า อารย (อา-ระ-ยะ) แปลว่า เจริญ ผู้เจริญ และคำว่าธรรม คือ ธรรมชาติหรือลักษณะโดยทั่วไป รวมความมีความหมายว่า ความเจริญของสังคมในทุกด้านที่ได้สั่งสมมา

ทั้ง 2 คำนี้ในภาษาอังกฤษก็คือ คำว่า Culture และ Civilization ตามลำดับ ซึ่งถ้าเราดูที่ความหมายจากการนิยามของสำนักราชบัณฑิตยสภาจะเห็นว่าความหมายดูจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไร จุดต่างมีอยู่นิดเดียว คือ 

อารยธรรมเน้นมองในภาพรวม และดูจะมีภาพที่ใหญ่กว่า” 

แต่หากมองในเชิงประวัติศาสตร์หรือสังคมศาสตร์แล้ว ทั้งสองคำมีความต่างกันพอควร ปกติแล้วเวลาสอน จะบอกนักเรียนแบบสรุปง่ายๆ ว่า

กลองสะบัดชัย วัฒนธรรมเครื่องดนตรีและการละเล่นสำคัญของภาคเหนือ (ขอบคุณภาพจาก https://www.thansettakij.com)

วัฒนธรรม สามารถระบุความหมายได้สองแบบ แบบแรก คือ แบบแผนวิถีชีวิตอันดีงามของมนุษย์ แบบสอง คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น โดยจุดเน้นสำคัญของการเป็นวัฒนธรรม คือ ต้องเกิดจากมนุษย์ เป็นได้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม

อารยธรรม คือ ความเจริญขั้นสูงของมนุษย์ มีการสั่งสมมานานพอสมควร มีลักษณะเป็นระบบสังคมที่มีลักษณะซับซ้อน เป็นแม่แบบและส่งต่ออิทธิพลให้เกิดวัฒนธรรมในพื้นที่อื่นๆ อีก

วิหาร Parthenon มรดกทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของอารยธรรมกรีก

สิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างวัฒนธรรมกับอารยธรรม คือ อารยธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมีวัฒนธรรมก่อน เมื่อสั่งสมจนถึงระดับหนึ่ง คือ เกิดความเจริญในระดับเมืองหรือรัฐ แล้วมีอิทธิพลส่งต่อให้กับวัฒนธรรมในพื้นที่อื่น (หรือรวมถึงอารยธรรมในพื้นที่อื่นๆ ก็ได้) จะขยายกลายเป็นอารยธรรม จากลักษณะเช่นนี้ในโลกของเราจึงมีอารยธรรมน้อยกว่าวัฒนธรรม ความเจริญในบางพื้นที่เป็นได้เพียงวัฒนธรรม ไม่สามารถขยายเป็นอารยธรรมได้

ตัวอย่างของอารยธรรมในโลกของเรา เช่น อารยธรรมจีน อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอิสลาม อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ในทวีปเอเชีย อารยธรรมกรีก อารยธรรมโรมัน ในทวีปยุโรป อารยธรรมอียิปต์ ในทวีปแอฟริกา

การไหว้ วัฒนธรรมไทยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมอินเดียในด้านศาสนา (ขอบคุณภาพจาก https://www.lib.ru.ac.th/journal2)

อย่างไรก็ตาม คำว่า อารยธรรม เวลานำคำไปใช้จริง หลายคนที่เอาไปใช้ไม่ได้มองในเชิงสังคม-ประวัติศาสตร์ แบบที่เขียนมา แต่ไปมองในเชิงภาษามากกว่า ดังนั้น เวลาพูดอารยธรรมเลยเหมารวมหมด เช่น อารยธรรมไทย อารยธรรมญี่ปุ่น แบบนี้ ซึ่งเวลาผู้เขียนเห็นก็จะรู้สึกแปลกๆ ตามสไตล์ครูสังคม-ประวัติศาสตร์ เพราะไทย ไม่ได้เป็นแม่แบบทางความเจริญให้กับชนชาติอื่น แต่เรารับอารยธรรมจากที่อื่นมาผสมผสานจนเป็นเรา ที่เห็นเด่นชัด คือ อารยธรรมอินเดีย เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่รับอารยธรรมจีนมาผสมผสานจนเป็นตัวเอง ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้วทั้งไทยและญี่ปุ่น ควรเรียกว่าวัฒนธรรม ไม่ใช่อารยธรรม

ความเข้าใจในคำทั้งสองอย่างถูกต้องจะทำให้สามารถนำคำไปใช้สื่อความได้อย่างชัดเจน สามารถเชื่อมโยงกับประเด็นต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมและอารยธรรมที่อยากนำมาเขียนบอกเล่าสู่กันฟังอยู่อีก แต่คิดว่าสำหรับบทนี้คงยาวพอแล้ว… ยังไงไว้ติดตามต่อในบทต่อไปนะครับ

If you like, please share this!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Post

Drama ฮ่องกง-ไต้หวัน เราควรจะจัดกลุ่ม 2 พื้นที่นี้ว่าอยู่ในสถานะไหนดี?Drama ฮ่องกง-ไต้หวัน เราควรจะจัดกลุ่ม 2 พื้นที่นี้ว่าอยู่ในสถานะไหนดี?

สืบเนื่องจากบทก่อน ที่ยังเล่าได้ไม่หมด เพราะคิดว่าประเด็นนี้ดูน่าจะต้องพูดอีกยาว เลยจัดให้เป็นบทใหม่เลยจะดีกว่า… คิดว่าหลายคนคงได้ยินประเด็น drama เกี่ยวกับฮ่องกงและไต้หวัน มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะกรณีฮ่องกง ซึ่งบานปลายกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ รวมถึงเป็นกระแสจากดาราที่แสดงในละครวายของไทยด้วย ซึ่งแน่นอนก็มีหลายฝ่ายพูดกันไปต่างๆ นานา “ประเด็นสำคัญจาก Drama ในเรื่องนี้ คือ ความจริงแล้ว เราควรเรียกไต้หวัน และฮ่องกง ว่าเป็นประเทศ หรือเป็นรัฐ ได้ไหม? แล้วการเรียกร้องสิทธิโดยเฉพาะกรณีฮ่องกง นี่ถือว่าถูกต้องในเชิงรัฐศาสตร์หรือไม่?”  ในบทนี้เราจะมาหาคำตอบในประเด็นนี้กันโดยเชื่อมโยงความรู้จากเนื้อหาที่เล่าไปแล้วในบทที่ผ่านมา สำหรับผู้อ่านท่านใดที่เพิ่งเข้ามาอ่านในบทนี้ แล้วอยากทราบเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการแยกรัฐกับชาติย้อนกลับไปดูในบทก่อนหน้านี้ได้นะครับ เริ่มจาก ไต้หวัน ก่อน ไต้หวันหรือเกาะฟอร์โมซา เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. 1949 โดยผู้สถาปนา

มนุษย์สร้างและใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมอย่างไรกัน?มนุษย์สร้างและใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมอย่างไรกัน?

บทที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะตัวของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ โดยมีจุดแบ่งสำคัญ คือ การที่มนุษย์สามารถสร้างสรรค์วัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ความเจริญและกลบสัญชาตญาณลงไป มาในบทนี้ เราจะลงลึกเกี่ยวกับวัฒนธรรมกับมนุษย์ให้มากขึ้น ว่าเราสร้างและใช้ประโยชน์จากมันในลักษณะใดๆ บ้าง ซึ่งเรื่องการใช้ประโยชน์นี้ยังสามารถเชื่อมไปได้ถึงเรื่องการอนุรักษ์ด้วย ถ้าพร้อมแล้วเรามาลุยกันเลย….. เกี่ยวกับความหมาย และลักษณะเฉพาะตัวได้คุยกันไปใน 2 บทที่ผ่านมาแล้ว.. ดังนั้นในบทนี้จึงอยากขยายเกี่ยวกับประเภท รูปแบบ และลักษณะอื่นๆ ของวัฒนธรรม บ้าง เพื่อจะได้วิเคราะห์เชื่อมโยงไปถึงการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ได้เข้าใจมากขึ้น ปัจจุบันวัฒนธรรมสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภทมาก แต่ที่นิยมใช้เป็นเกณฑ์มากที่สุด คือ เกณฑ์ที่กำหนดจากพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 ซึ่งจะแบ่งวัฒนธรรมเป็น 4 ลักษณะ คือ วัฒนธรรมประเภทคติธรรม ได้แก่ พวกคติความเชื่อ

“วัฒนธรรม” สิ่งที่บ่งชี้ความเป็นมนุษย์“วัฒนธรรม” สิ่งที่บ่งชี้ความเป็นมนุษย์

ในบทที่แล้วเราได้พอรู้จักความหมายของคำว่า วัฒนธรรม และความแตกต่างของคำนี้กับคำว่า อารยธรรม ซึ่งก็อย่างที่บอกไปมีคนนำไปใช้ผิดพอสมควร ในบทนี้อยากชวนผู้อ่านได้มาลองดูในเรื่องความสำคัญของวัฒนธรรมต่อมนุษย์กันบ้าง เมื่อจบบททุกคนจะได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า วัฒนธรรมมันสำคัญหรือจำเป็นต่อมนุษย์ยังไง? ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลย…. เวลาที่เราพูดถึงคำว่า วัฒนธรรม สิ่งหนึ่งที่อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ไว้เลยก็คือ  “มันเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น และยังเป็นสิ่งบ่งชี้สำคัญว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอื่นๆ”  แม้วัฒนธรรมจะมีความสำคัญในข้ออื่นๆ อีกหลากหลาย แต่นี่คือความสำคัญสูงสุดของคำนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้มีประสบการณ์จากการสอนที่น่าสนใจอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง ตอนสอนนักเรียนครั้งหนึ่งเคยตั้งคำถามกับนักเรียนในข้อสอบแบบอัตนัยว่า  “เห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวที่ว่า วัฒนธรรมมีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น จงแสดงเหตุผลประกอบ“  ซึ่งคำตอบที่ออกมาจะต้องตอบว่าเห็นด้วยดังที่ได้อธิบายไปแล้ว และคะแนนจะมากหรือน้อยดูกันที่เหตุผล แต่ทว่ามีนักเรียนคนหนึ่งเขียนคำตอบมาว่า ไม่เห็นด้วย พร้อมตั้งคำถามจากเหตุผลที่เค้าเขียนมาว่า  “จริงๆ แล้วสัตว์ไม่มีวัฒนธรรมจริงหรือ? เช่น การที่มดสามารถสร้างรัง แบ่งหน้าที่ การที่สุนัขหรือแมวมีกฎไม่ถ่ายรดในพื้นที่เดียวกัน