สืบเนื่องจากบทก่อน ที่ยังเล่าได้ไม่หมด เพราะคิดว่าประเด็นนี้ดูน่าจะต้องพูดอีกยาว เลยจัดให้เป็นบทใหม่เลยจะดีกว่า… คิดว่าหลายคนคงได้ยินประเด็น drama เกี่ยวกับฮ่องกงและไต้หวัน มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะกรณีฮ่องกง ซึ่งบานปลายกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ รวมถึงเป็นกระแสจากดาราที่แสดงในละครวายของไทยด้วย ซึ่งแน่นอนก็มีหลายฝ่ายพูดกันไปต่างๆ นานา
“ประเด็นสำคัญจาก Drama ในเรื่องนี้ คือ ความจริงแล้ว เราควรเรียกไต้หวัน และฮ่องกง ว่าเป็นประเทศ หรือเป็นรัฐ ได้ไหม? แล้วการเรียกร้องสิทธิโดยเฉพาะกรณีฮ่องกง นี่ถือว่าถูกต้องในเชิงรัฐศาสตร์หรือไม่?”
ในบทนี้เราจะมาหาคำตอบในประเด็นนี้กันโดยเชื่อมโยงความรู้จากเนื้อหาที่เล่าไปแล้วในบทที่ผ่านมา สำหรับผู้อ่านท่านใดที่เพิ่งเข้ามาอ่านในบทนี้ แล้วอยากทราบเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการแยกรัฐกับชาติย้อนกลับไปดูในบทก่อนหน้านี้ได้นะครับ
เริ่มจาก ไต้หวัน ก่อน ไต้หวันหรือเกาะฟอร์โมซา เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. 1949 โดยผู้สถาปนา คือ เจียงไคเช็ค ซึ่งท่านเคยเป็นประมุขสาธารณรัฐจีน (ยุคที่จีนยังปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) แต่ภายหลังท่านแพ้ต่อเหมาเจ๋อตงในสงครามกลางเมืองปี ค.ศ. 1949 จึงได้ลี้ภัยไปจัดตั้งรัฐบาลคณะชาติจีนหรือสาธารณรัฐจีนที่ไต้หวันดังกล่าว
แน่นอนหากเรามองในจุดเริ่มต้นหรือมองในเชิงประวัติศาสตร์เช่นนี้
หากเราเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เราก็คงต้องบอกว่าไต้หวันไม่มีทางเป็นรัฐอิสระได้ เพราะจุดเริ่มต้นคุณมาจากฉัน แต่ในทางตรงข้าม คนไต้หวันก็จะบอกว่าอ่าว…ก็ฉันเป็นรัฐบาลอยู่ แต่คุณแย่งอำนาจไปจากฉันต่างหาก ฉันรอวันทวงคืนอำนาจอธิปไตยของฉัน ดังนั้นฉันจึงเป็นรัฐอิสระ
ดังนั้นตรงนี้จึงเท่ากับว่าต่างคนต่างมองในมิติที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ เลยไม่มีคำตอบได้อย่าง 100% ว่าจริงๆ แล้วไต้หวันควรเป็นรัฐอิสระหรือประเทศไหม ในมุมของผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านมองในเชิงความหมายของรัฐ ดังที่ได้กล่าวไปในบทความเรื่องการแยกรัฐกับชาติ
หากถามว่าในปัจจุบัน ไต้หวันมีองค์ประกอบ 4 อย่างของรัฐครบไหม?
คำตอบ คือ ครบ แม้จะไม่สมบูรณ์ดีนัก ในแง่รัฐบาลและอำนาจอธิปไตย โดยจุดเน้นสำคัญ คือ รัฐบาลที่ปกครองจะต้องได้รับการยอมรับจากนานาชาติรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ แต่กรณีไต้หวัน ปัญหา คือ จีน ตามที่ได้กล่าวไป
อย่างไรก็ตามกับรัฐอื่นๆ แล้วทุกรัฐก็ล้วนมองความมีตัวตนของไต้หวันทั้งสิ้น ไต้หวันยังมีเพลงชาติที่หลอมรวมความเป็นไต้หวัน มีธงชาติที่บ่งความเป็นตัวเอง มีกระบวนการเลือกตั้งที่ไม่ขึ้นกับรัฐใดๆ องค์ประกอบหรือสภาพการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาจึงทำให้ผู้เขียนมองว่า ไม่ว่าอย่างไร ไต้หวัน ก็มีความเป็นรัฐหรือประเทศไปเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างแม้ทางรัฐบาลจีนจะไม่เคยยอมรับการมีตัวตนของไต้หวันเลย แต่ในแง่เศรษฐกิจการค้า ก็มีการติดต่อกันอยู่เสมอ
ทีนี้เรามาดู ฮ่องกง กันบ้าง สำหรับฮ่องกง ประวัติที่สำคัญต้องย้อนไปภายหลังสงครามฝิ่นที่จีนสมัยราชวงศ์ชิงทำกับอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1842 แล้วพ่ายแพ้ ฮ่องกงถูกอังกฤษยึดไป ต่อมาอังกฤษมีชัยชนะเหนือจีนอีกครั้งในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1898 ในครั้งนี้อังกฤษได้ขยายดินแดนการครอบครองไปถึงคาบสมุทรเกาลูนและได้ทำสัญญาเช่าเป็นเวลา 99 ปีจากราชสำนักชิง นับแต่นั้นฮ่องกงก็อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษมาโดยตลอดจนถึง ปี ค.ศ. 1997 ซึ่งครบกำหนดสัญญาเช่า อังกฤษได้ส่งมอบฮ่องกงคืนต่อจีน ซึ่งผู้นำของจีนในขณะนั้น คือ เติ้งเสี่ยวผิง จีนได้ตัดสินใจที่จะทำให้ฮ่องกงเป็นเขตบริหารการปกครองแบบพิเศษ (Special Administrative Region) มีลักษณะการปกครองและเศรษฐกิจที่เป็นของตัวเอง ไม่ขึ้นกับจีน ในลักษณะที่รู้จักกันในชื่อว่า “หนึ่งประเทศ สองระบบ” (One Country, Two Systems)
ปัจจุบันฮ่องกง มีการบริหารที่เป็นอิสระจากรัฐบาลจีนยกเว้นเรื่องการทหาร การต่างประเทศ มีระบบเศรษฐกิจและการเงินเป็นของตัวเอง โดยระบบนี้จีนกำหนดไว้ว่าจะใช้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2047 ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรค่อยมาตกลงกันใหม่
จากที่เล่าประวัติมา ผู้อ่านคงพอมองเห็นชัดเจนว่า
สถานะของฮ่องกงในปัจจุบันถือว่าเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษของจีน
หากพิจารณาตามหลักเรื่ององค์ประกอบของรัฐ ก็ยังสรุปได้อีกเช่นกันว่า
ฮ่องกงไม่มีอำนาจอธิปไตยที่เป็นของตัวเอง
อำนาจอธิปไตยนี้ คือ อำนาจในการปกครองสูงสุดของประเทศ ซึ่งหากจะเป็นรัฐโดยสมบูรณ์ อำนาจนี้ต้องอยู่กับผู้ปกครองของรัฐนั้น ไม่ได้ถูกกำหนดมาจากรัฐอื่น ในแง่รัฐบาลที่ปกครอง จะต้องได้รับการยอมรับทั้งจากประชาชนในประเทศและนอกประเทศ แต่กรณีฮ่องกงเราก็เห็นได้ชัดว่า ทุกอย่างมาจากศูนย์กลาง คือ จีน หมด ตรงนี้ผู้เขียนจึงสรุปแบบ 100% ได้เลยว่า ฮ่องกงไม่ใช่รัฐหรือประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้มาจากการที่รัฐบาลจีนพยายามลดบทบาทของฮ่องกงลง โดยการพัฒนาเศรษฐกิจในเมืองท่าชายฝั่งของจีนหลายแห่ง เพื่อกระจายความเจริญต่างๆ ไม่กระจุกที่ฮ่องกงจุดเดียว รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการ 1,200 คน เพื่อเลือกผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นสายนิยมจีน รวมถึงการบัญญัติกฎหมายหลายเรื่องที่มีผลกระทบต่อเรื่องสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกง การพยายามให้ชาวฮ่องกงใช้ภาษาจีนกลางแทนภาษากวางตุ้งซึ่งเป็นภาษาพื้นถิ่นที่ชาวฮ่องกงใช้ในการสื่อสาร เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ชาวฮ่องกงโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นหนุ่มสาวไม่พอใจจนนำไปสู่การประท้วงต่อต้านอยู่บ่อยครั้ง จนถึงทุกวันนี้ปัญหาก็ยังคงยืดเยื้อ หาข้อยุติไม่ได้
“หากถามว่าใครถูกใครผิด? คงตอบได้ยาก”
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นครูสอนสังคม-ประวัติศาสตร์ อยากให้ทุกคนได้มองอย่างเป็นกลาง อาศัยเหตุผล หลักฐาน ข่าวจากหลายๆ ที่มาประมวลและคิดวิเคราะห์ อย่าปักใจเชื่อในทันที แล้วเราจะได้รับข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความจริงมากสุด
“เรื่องการเมืองไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ ต่างก็มีวาระซ้อนเร้นด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นฟังหูไว้หู อาศัยการวิเคราะห์จากข้อมูลต่างๆ จึงเป็นอะไรที่ดีที่สุด”
มาถึงในจุดนี้ ผู้อ่านคงได้บทสรุปแล้วนะครับว่า เราควรวางสถานะ ไต้หวันและฮ่องกง ในลักษณะใดดี หวังว่าข้อมูลที่เอามาเล่าในวันนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านพอสมควร ในครั้งหน้า ยังมีควันหลงเกี่ยวกับเรื่องทางรัฐศาสตร์อีกเล็กน้อย แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น คอยติดตามกันต่อไปครับ